ยาระบาย (Laxative Drug)
คือกลุ่มยาที่มีฤทธิ์ช่วยระบาย หรือถ่ายอุจจาระ ใช้บรรเทาอาการท้องผูก โดยจะเข้าไปกระตุ้นการบีบตัวหรือการทำงานของลำไส้ ตลอดจนการทำให้อุจจาระมีความอ่อนตัวลง ทำให้เคลื่อนตัวได้สะดวกและง่ายต่อการขับถ่าย
ประเภทของยาระบาย
สามารถจัดกลุ่มประเภทของ ยาระบาย ได้ตามกลไกการออกฤทธิ์ ดังนี้
- ยาระบายประเภทเพิ่มปริมาณอุจจาระ
เช่น Psyllium, Mucilin, Metamucil, Methylcellulose รวมไปถึงอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ
ทำให้อุจจาระจับตัวกันเป็นก้อน เพิ่มความสามารถในการดูดซึมและกักเก็บน้ำ ทำให้อุจจาระมีขนาดใหญ่และมีความนุ่ม กระตุ้นการทำงานของลำไส้ทำให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น
- ยาระบายประเภททำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม
เช่น Docusate sodium ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง ซึ่งส่งผลดีต่ออวัยวะที่ใช้ในการขับถ่าย เหมาะเป็นยาช่วยป้องกันท้องผูกมากกว่าเป็นยารักษาอาการท้องผูกในระยะยาว
- ยาระบายประเภทเพิ่มความหล่อลื่น
เช่น Mineral Oil จะทำการเคลือบอุจจาระ เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ อีกทั้งยังเพิ่มความหล่อลื่นให้กับลำไส้ ทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้ง่ายยิ่งขึ้น
- ยาระบายประเภทเพิ่มปริมาตรน้ำ
เช่น Milk of magnesia ทำการดูดซึมน้ำเข้าสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ปริมาณน้ำในลำไส้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้อุจจาระไม่แห้ง มีความนิ่มและเคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้เกิดการบีบตัวเพื่อทำการขับถ่าย
- ยาระบายประเภทกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
เช่น Bisacodyl, ยาที่สกัดจากมะขามแขก เป็นยาระบายที่มีฤทธิ์มากที่สุด ควรใช้อย่างระมัดระวัง ออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ให้มีการบีบตัวเพิ่มมากขึ้น และยังทำให้น้ำและเกลือแร่ถูกขับออกมาเป็นจำนวนมาก อาจทำให้อ่อนเพลีย ไม่ควรใช้ยานี้เป็นประจำ เนื่องจากอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และทำให้อิเล็กโทรไลท์ในร่างกายเสียสมดุลได้
ในการตัดสินใจเลือกใช้ยาระบาย ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพราะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ร่างกายของผู้ป่วย ภาวะโรค และความรุนแรงของอาการท้องผูก ตลอดจนตัวยาอาจทำปฏิกิริยากับยาหรือวิตามินที่ทานอยู่ ทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้
ผลเสียจากการติดยาระบาย
โดยปกติแล้ว ยาระบายควรใช้เป็นครั้งคราวเพื่อบรรเทาอาการท้องผูก เมื่อการขับถ่ายกลับมาเป็นปกติควรหยุดใช้ ไม่ควรใช้ยาระบายต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ลำไส้เคยชินกับยาระบาย จนร่างกายไม่สามารถขับถ่ายได้เองตามธรรมชาติ เรียกภาวะนี้ว่า ลำไส้ขี้เกียจ และอาจทำให้ลำไส้ทนทานต่อฤทธิ์ยามากขึ้น ส่งผลให้ต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก่อให้เกิดเป็นการติดยาระบาย และทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย
การใช้ยาระบาย จะไม่เกิดผลข้างเคียงอันตรายใด ๆ แต่หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้ไม่ถูกวิธี ไม่ตรงตามคำแนะนำของแพทย์ อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ ตั้งแต่อาการต่าง ๆ เช่น อ่อนเพลีย, คลื่นไส้อาเจียน, ท้องอืด, ท้องเสีย เป็นต้น
รวมถึงหากใช้ต่อเนื่องในระยะยาวอาจเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของร่างกายและโรคต่าง ๆ เช่น ภาวะขาดน้ำ, ภาวะขาดสมดุลของแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคหัวใจ, โรคไต และโรคเกี่ยวกับลำไส้และระบบขับถ่าย เป็นต้น